Monday, April 8, 2013

โลกอาลัย สตรีเหล็ก มากาเร็ต แธตเชอร์

โลกอาลัย สตรีเหล็ก มากาเร็ต แธตเชอร์
บรรดาผู้นำและบุคคลสำคัญต่างออกมากล่าวแสดงความอาลัย และชื่มชม บารอนเนส มากาเร็ต แธตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนเดียวของอังกฤษ ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองอุดตัน ระหว่างพักอยู่ที่โรงแรม ริตซ์ ในกรุงลอนดอน รวมอายุได้ 87 ปี ในวันเดียวกัน ธงชาติยูเนียนแจ็คในสหราชอาณาจักร ถูกลดลงครึ่งเสาเพื่อแสดงความไวอาลัย ขณะที่รัฐสภาเตรียมยกเลือกพิธีอีสเตอร์ในวันพุธ เพื่อให้เหล่าสมาชิกสภาได้ไวอาลัยแก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศ เจมส์ คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ  นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอังกฤษ ยกเลิกกำหนดการเข้าพบประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ แห่งฝรั่งเศส และเดินทางกลับประเทศอังกฤษ โดยเขาอ่านแถลงการณ์ที่หน้าบ้านเลขที่ 10 แห่งถนนดาวนิง ยกย่องเลดี้แธตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีผู้รักชาติ และกล่าวว่า เธอทำให้อังกฤษสามารถลุกขึ้นยืนจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำได้อีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า โลกได้สูญเสียหนึ่งในนักสู้เพื่ออิสระและเสรีภาพผู้ยิ่งใหญ่ และอเมริกาได้สูญเสียเพื่อแท้ไปแล้ว ด้านนางอันเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี กล่าวว่า เธอจะไม่ลืมบทบาทของเลดี้แธตเชอร์ในการข้ามผ่านความแตกแยกในยุโรป ในช่วงสิ้นสุดสงครามเย็นเลย โฆษกสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเผยว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงรู้สึกเสียพระราชหฤทัย หลังทรงทราบข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของบารอนเนสแธตเชอร์ และพระองค์จะส่งพระราชสาสน์แสดงความเสียพระราชหฤทัยแก่ครอบครัวของเลดี้แธตเชอร์ ด้านนายมิคาอิล กอบาเชฟ อดีตผู้นำแห่งสหภาพโซเวียต ซึ่งมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับนางแธตเชอร์หลายครั้ง ในช่วงสงครามเย็นทศวรรษที่ 1980 กล่าวว่า มากาเร็ต แธตเชอร์ เป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ และมีบุคลิกภาพที่เปล่งประกาย เธอจะอยู่ในความทรงจำของเราและประวัติศาสตร์ตลอดไป ทั้งนี้ พิธีศพของ บารอนเนส มากาเร็ต แธตเชอร์ เจ้าของฉายา สตรีเหล็ก จะมีขึ้นที่มหาวิหารเซนต์พอล โดยจะเป็นพิธีศพแบบทหารอย่างสมเกียรติ ก่อนจะมีพิธีฌาปนกิจอย่างเงียบๆ ตามความต้องการของครอบครัวของเธอ   ประวัติ มากาเร็ต แธตเชอร์ มากาเร็ต แธตเชอร์ ชื่อเดิมคือ มากาเร็ต โรเบิร์ตส์ เกิดเมื่อ 13 ต.ค. ปี 1925 เป็นลูกสาวของเจ้าของร้านขายของชำในเมืองแกรนต์แฮม เธอจบการศึกษาสาขาเคมีวิทยาจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และทำงานในโรงงานพลาสติกแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะสมรสกับนักธุรกิจ เดนิส แธตเชอร์ เมื่อปี 1951 เธอให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิงหนึ่งคู่ชื่อว่า มาร์ค และแครอลในปี 1953 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เธอผ่านคุณสมบัติเป็นทนายความ และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมือง ฟินช์ลีย์ ทางเหนือของลอนดอน ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมแทนที่ เอ็ดเวิร์ด ฮีธ อดีตนายกรัฐมนตรีในปี 1975 และชนะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีสามสมัยซ้อนในปี 1979, 1983 และ 1987 ในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลของเธอเปลี่ยนรัฐวิสาหกิจหลายอย่างให้กลายเป็นบริษัทเอกชน รวมถึงมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับสหภาพแรงงานในช่วงการประท้วงของเหล่าคนงานเหมืองในปี 1984-5 เธอยังเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างที่เกิดสงครามแย่งชิงหมู่เกาะฟอล์กแลนด์กับอาร์เจนตินาเมื่อปี 1982 โดยหลังจากชนะสงคราม คะแนนนิยมของเธอพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการ ความเป็นที่นิยมมากเกินไป ทำให้เธอถูกลอบสังหารด้วยระเบิดในปี 1984 ที่โรงแรมบริตัน แกรนด์ ซึ่งเธอพักระหว่างการประชุมสามัญประจำปีของพรรคอนุรักษ์นิยม แต่รอดชีวิตมาได้   ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 ของเธอ เธอกลายเป็นผู้สนับสนุนตลาดเสรี และต่อต้านการรวมสหภาพยุโรปมากที่สุด เธอยังเป็นหนึ่งในกุญแจขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลัง ที่ทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ในภาคตะวันออกของยุโรปล่มสลายด้วย แธตเชอร์ก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 1990 หลังจากชนะการลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำพรรค ต่อรายไมเคิล เฮเซลไทน์ โดยได้คะแนนไม่เพียงพอทำให้ต้องมีการโหวตรอบสอง จากนั้นบทบาททางการเมืองของเธอก็ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนกระทั้งเกษียณตัวเองจากสังคมในปี 2002 ช่วงสุดท้ายของชีวิต บารอนเนส แธตเชอร์ ประสบปัญหาอาการเจ็บป่วยมานานหลายปี รวมถึงเคยเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกบริเวณกระเพาะปัสสาวะเมื่อธ.ค.ปีก่อน และพักอยู่ที่โรงแรมริตซ์ มาตลอดตั้งแต่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล จนกระทั้งเสียชีวิตด้วยอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน เยือนโซเวียตมากาเร็ต แธตเชอร์ กับ มิคาอิล กอบาเชฟเยือนหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ หลังสงครามผ่านพ้นควีนเอลิซาเบธที่ 2 และ บารอนเนสแธตเชอร์ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โรนัลด์ เรแกน และนางแธตเชอร์ 

No comments:

Post a Comment

Blog Archive